12.09.2553

ปกิณกะ: การดูแลสุขภาพองค์รวมเชิงรุก (1/2)

การดูแลสุขภาพองค์รวมเชิงรุก ตามหลักของอายุรเวช และแพทย์ทางเลือก ผสมกันไปเลยนะคะ เราเริ่มกันตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอนกันคะ

ตื่นนอน: > รับแดด > ดื่มน้ำ > ยึดตัว
  • เวลาตื่นเช้าดีที่สุดคือเวลา 5.30 นาฬิกา มารับแสงแดดยามเช้า เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดดีที่สุดตั้งแต่ 6.00  จนถึง 8.00 นาฬิกา เลยจากนั้นก็ไม่ค่อยดีแล้ว แสงแดดในยามเช้าจะรักษาโรคผิวหนัง โรคกระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับจิตซึมเศร้า เนื่องจากขาดเซโรโทนิน (serotonin) เมลาโทนิน (melatonin) พวกเอ็นโดฟิน (endorphin) ไม่ได้หลั่งมาเป็นเวลานาน รักษาผู้มีบุตรยาก แสงแดดยามเช้าจะช่วยให้สเปริม (sperm) แข็งแรง และปรับความสมดุลของโฮโมน
  • ผิวคนเราสามารถสังเคราห์วิตามินดีได้ เมื่อรับแสงแดดแต่ต้องเป็นผิวที่มัน ไม่ใช่ผิวที่แห้ง ต้องทาน้ำมันก่อนแล้วค่อยอาบแดด พวกน้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา (วิตามิน A, D, E, K เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน) วิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ โดยเฉพาะคนที่ผอมบางจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูงต้องทาน้ำมันก่อนแล้วค่อยอาบแดดในช่วงเวลา 6.00 - 8.00 น. การเล่นโยคะตอนเช้าพร้อมรับแสงแดดก็จะดีมาก
  • นาฬิกาชีวภาพอยู่ที่หน้าผาก (ตาที่3) กล้ามเนื้อใต้ขอบตาเป็นตัวกระตุ้นการสร้าง เมลาโทนิน (melatonin) เซโรโทนิน (serotonin) แต่ต่อมพิทูอิทารี (pituitary gland) เป็นตัวสร้าง พอตื่นนอนก็ให้เปิดหน้าต่างรับแสงแดดเลยเพื่อให้ร่างกายรู้ว่าตอนนี้เช้าแล้วนะ ให้ร่างกายสดชื่น เช่นเดียวกันตอนก่อนนอน ก็ค่อยๆ ปิดไฟเพื่อให้ร่างกายสงบลง ก็ที่จะนอน จะทำให้นอนหลับง่ายขึ้น หลับสบายขึ้น
  • อากาศที่ดีที่สุดในแต่ละวันคือช่วง 4.00 จนถึง 6.00 นาฬิกา เป็นช่วงศิวยาม อ่านหนังสือตอนนี้ดี ทำให้จำได้ดี
  • หลังจากตื่นนอนหลับแสงแล้วก็ให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ 2 แก้ว (ดื่มให้มากที่สุด) เป็นนำ้อุณหภูมิห้อง และที่ดีควรใส่ในภาชนะที่เป็นทองแดง ดินเผา แก้ว หรือเซรามิค ไม่ควรใช้ที่เป็นพลาสติก ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการปวดหัว มึนๆ งง แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ ระดับน้ำในกระแสเลือดข้นเกินไป (dehydrated) การดื่มน้ำยังสามารถช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วยได้
  • หลังจากดื่มน้ำ > ยืดตัวทำท่าพฤกษาสนะ (ประสานมือด้านหน้า หายใจเข้ายืด เขย่ง ดันตัวยืด หายใจออกปากเป่า ลดมือลง) ทำ 4 - 5 ครั้ง เป็นการขจัดของเสียที่คั่งค้างตามกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ และเป็นการกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเป่า สดชื่นขึ้น เป็นการรับออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย
  • ไม่อยากแนะนำให้ออกกำลังกายตอนเช้าถึงแม้นว่าการออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าตอนเย็นถึง 3 เท่าแต่สำหรับคนที่ต้องทำงานระหว่างวันจะทำให้ช่วงบ่ายๆ รู้สึกเพลีย เหนื่อย และทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ยกเว้นผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือแม่บ้านที่ไม่ต้องทำงาน 



เข้าห้องน้ำ: ขับถ่าย ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ

อุจจาระ เราต้องสำรวจและสังเกตุอุจจาระของเราด้วยว่าเป็นอุจจาระวันต่อวันหรือไม่ (การที่เราอุจจาระทุกวัน ไม่ได้แปลว่าเป็นอุจจาระวันต่อวัน) 
  1. อุจจาระต้องวันต่อวัน อาหารที่เราทานวันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องถ่ายออกมา (ทดสอบได้ด้วยการกินอาหารที่ร่างกายย่อยไม่ได้ เช่นถั่วงอก ผักชี มะละกอดิบ ผักบุ้ง ข้าวโพด ฯลฯ พรุ่งนี้ต้องออกมา) คือระบบย่อยอาหารทำงานปกติ ถ้าหลายวันถึงจะออกมามีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้สูงเพราะจะหมักหมมอยู่ในร่างกาย
  2. อุจจาระต้องเบา และลอยน้ำ จับตัวกันมีลักษณะเหมือนข้าวหลาม คือมีปริมาณไฟเบอร์มาก แต่ถ้าทานแป้งและโปรตีนมากอุจจาระจะหนักและเหนียวจะจมน้ำ และต้องไม่มีฟอง
  3. อุจจาระต้องขนาดใหญ่ เพราะลำไส้ใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 น้ิว ถ้าอุจจาระขนาดเล็กคือผนังลำไส้เรามีแต่กากอุจจาระติดอยู่ที่ผนังลำไส้เยอะ ไม่ดีเพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารวิตามินจากลำไส้ใหญ่ถ้ามีกากอุจจาระติดก็เท่ากับดูดซึมสารอาหารผ่านกากอุจจาระเข้าไปด้วย (อุจจาระเลยกลายเป็นอาหารของเรา) ทำให้ร่างกายไม่สดชื่น เซื่องซึม เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียผิวพรรณหมอง หน้าจะมีแต่กระ ฝ้า และทำให้แบคทีเรีย over grow ส่งผลให้เราไม่สบายได้
  4. กลิ่นของอุจจาระต้องไม่มีกลิ่นเปรี้ยวๆ ปน กลิ่นเปรี้ยวๆ แสดงว่ามีแก๊สในกระเพราะลำไส้มาก เกิดจากการที่ตัวเราร้อนจัด ทำให้แบคทีเรีย over grow อาจจะทำให้ติดเชื้อ ทำให้ไม่สบายได้ กลิ่นเปรี้ยวๆ ของอุจจาระจะมาพร้อมกับอุณหภูมิที่ร้อนของอุจจาระด้วย รักษาโดยการดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลง และต้องไม่มีกลิ่นคาว กลิ่นคาวแสดงว่าอาจมีแผลในทางเดินอาหารในกระเพาะหรือลำไส้เล็ก แต่ถ้าเป็นในลำไส้ใหญ่จะมีเลือดปน ถ้าเลือดสีดำเข้มสันนิษฐานว่า มีแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนต้น ถ้าสีเลือดหมู สันนิษฐานว่ามีแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนกลาง ถ้าสีเลือดสด สันนิษฐานว่ามีแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนปลาย แต่ถ้าเลือดเป็นหยดๆ เลยคือมีแผลบริเวณปากทวาร
  5. สีของอุจจาระจะเป็นสีเหลือง - น้ำตาลเข้ม เป็นสีปกติของอุจจาระ (ขึ้นอยู่กับอาหาร และยาที่ทานเข้าไปด้วย) ถ้าเป็นสีดำ สันนิษฐานว่ากระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กเป็นแผล อาจมีภาวะเลือดจางร่วมด้วย
  • ถ้าผนังลำไส้เราไม่สะอาดเราสามารถไปทำ detox ก็ช่วยได้ (ในช่วงแรกให้ทำเดือนละ 1 ครั้ง ซัก 3 ครั้งติดต่อกัน และหลังจากนั้นการประมาณ 3 เดือนครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานของเราด้วย) และการทานอาหารที่มีเส้นใยสูง (fiber) จะเป็นเหมือนไม้กวาดไปกวาดลำไส้ให้สะอาด และดึงเอากากอุจจาระที่ติดอยู่ตามผนังลำไส้ได้ (ลำไส้ใหญ่ดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น B, C เกลือแร่ต่างๆ และ แคลเซียม / ลำไส้เล็กดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำมัน A, D, E, K) 
  • การกินยาถ่ายอันตรายกับร่างกายมากๆ ถ้ามีปัญหากับการขับถ่ายจริงๆ ให้ทานพวกไฟเบอร์อัดเม็ดจะดีกว่า
  • แก้วมังกรแดงเป็นผลไม้ที่ล้างลำไส้ได้ดี (สารเคลือบเมล็ดมันลื่นมากๆ และสีแดงยังช่วยลดปวด ลดการอักเสบด้วย)
  • ถ้ามีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ถ่ายยากให้บีบบริเวณอุ้งมือ นวดเบาๆ จะเป็นการกระตุ้นให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
ปัสสาวะ เราก็ต้องสังเกตุด้วยว่ามีลักษณะและอาการอย่างไรกันบ้าง
  1. สีของปัสสาวะ ต้องเป็นสีใส (clear) ออกเหลืองนิดๆ ได้ขึ้นอยู่กับอาหารและวิตามินที่ทานเข้าไปด้วย
  2. กลิ่นของปัสสาวะ ควรจะเป็นกลิ่นเหมือนกลิ่นยูเรีย แต่ถ้ากลิ่นเหม็น และมีความเป็นตระกอน สันนิษฐานได้ว่าเราอาจเป็นเบาหวาน ไต ตับมีปัญหา และกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ถ้ามีฟองเกิดจากแก็สในตัวเรา > การที่ตัวเราร้อนจัด > ทำให้แบคทีเรีย over grow ทำให้กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อได้ รักษาด้วยการดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการตัวร้อน
  3. หลังจากปัสสาวะแล้วมีอาการเสียว เกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากการกลั้นปัสสาวะ รักษาด้วยการดื่มน้ำมากๆ และอย่ากลั้นปัสสาวะ (แต่ถ้ามีอาการไข้ร่วมด้วยต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว) ถ้าปล่อยให้อักเสบบ่อยจะติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะและลามไปถึงไตได้
  4. แรงดันปัสสาวะไม่พุ่ง สันนิษฐานว่าบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ไตเริ่มเสื่อมสภาพ เบาหวาน และหัวใจ (เช็คได้แต่ในผู้ชาย ในผู้หญิงเช็คไม่ได้)
  5. ปัสสาวะแบบกระปิปกระปอย และกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สาเหตุจากหูรูดตรงกระเพาะปัสสาะเสื่อมคุณภาพ เกิดจากชอบกลั้นปัสสาวะ (มักเกิดกับผู้หญิง ไม่ค่อยพบกับผู้ชาย)
  6. ปัสสาวะไม่ออก อาจเกิดจากนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากการกินอาหารที่มีออกซาเรด ยางใสๆที่อยู่ในผัก เช่นสลัดผัก มะละกอดิบ มันจะเป็นเมือกไปอุดตันอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ต้องดื่มน้ำตามมากๆ หรือเกิดจากธาตุหนักที่ปนอยู่ในน้ำ (นำ้ไหล) และอาหารก็จะไปอุดตันเป็นเม็ดแข็งๆ
  7. การออกกำลังกายในขณะปัสสาวะ เพื่อให้หูรูดปัสสาวะแข็งแรง โดยการ ปัสสาวะแล้วกลั้น ปัสสาวะแล้วกลั้น ทำซำ้ๆ ทำให้ปัสสาวะมีคุณภาพ ป้องกันการเป็นโรคช้ำรั่วได้ เป็นการออกกำลังกายของคีแกล คือการออกกำลังกายกระเพาะปัสสาวะ มดลูก เชิงกราน ท้องน้อย กล้ามเนื้อช่วงล่างรวมถึงการขมิบก้น (หายใจเข้าขมิบหายใจออกคาย) เป็นการทำ repair ในผู้หญิง


  • ถ้าคนผอม แต่ความดันสูงสันนิษฐานได้ว่ามีปัญหาที่ไตอาจจะติดเชื้อ เป็นแผลในไต แต่ถ้าผอมแล้วความดันตำ่ก็ธรรมดา
  • ถ้าคนอ้วน แต่ความดันตำ่อันตราย ผิดปกติ ช็อคได้ตลอด แต่ถ้าความดันสูงก็ธรรมดา
  • ผู้หญิงมีโอกาสติดเชื้อซิฟิริส โกโนเรีย หนองใน แผลริมอ่อน จากการใช้ห้องน้ำสาธารณะเนื่องจากฝารองนั่ง และการไม่กดน้ำทิ้งก่อน แต่ว่าโอกาสน้อยมากๆ
  • การบั๊มท้องบ่อยๆ จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีการตกตระกอน
การแปรงฟัน
  • ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยๆ หลังจากที่เราหายจากไข้ให้เปลี่ยนแปรงสีฟันเลย ป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราไม่สบายกลับเข้าสู่ร่างกายอีก และเก็บให้ห่างกัน ไม่วางไว้ให้แปรงติดกัน หลังจากแปรงฟันเสร็จก็ล้างให้สะอาดและต้องสบัดให้แห้งด้วย ไม่ควรเก็บในที่ปิดควรจะโปร่งที่มีอากาศถ่ายเทดีป้องกันเชื้อรา
  • การใช้เกลือบ้วนปาก ช่วยให้ฟันแน่น ลดภาวะเหงือกบวม คอฟันย่น และดับกลิ่นปาก สาเหตุของกลิ่นปากเกิดจากร้อนใน แผลในกระเพาะอาหาร ภาวะเจ็บคอ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ คราบหินปูน ฟันผุ โรคตับ เบาหวาน ไต และตำแหน่งของคอผิดปกติ (ซอกคอโค้งผิดปกติ ไปดักเศษอาหารไว้) อาจใช้น้ำมันมะพร้าวบ้วนปาก กลั่วคอ ได้แทนน้ำยาบ้วนปาก ปลอดภัยกว่า
  • สามารถใช้แบงกิ้งโซดา แปรงฟันเพื่อฟอกฟันขาว เป็นวิธีที่ปลอดภัย
  • หลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วต้องใช้นิ้วนวดเหงือกด้วย เพื่อให้เหงือกได้หมุนเวียนเลือด เหงือกแข็งแรก เหงือกไม่ย่น และขูดลิ้นด้วย
  • น้ำตาลไซลิทอน เป็นน้ำตาลจากแอลกอฮอล ช่วยป้องกันไม่ให้ฟันผุ ใช้หลังอาหาร
  • ไม่ควรเก็บยา วิตามิน และของที่ไม่จำเป็นไว้ในห้องน้ำ เพราะแก๊สมีเทนในห้องน้ำและความชื้นทำให้เคมีในยาเปลี่ยนสภาพ
  • ไม่ควรดื่มน้ำทันทีหลังจากการแปรงฟันเสร็จ เพราะหลังจากแปรงฟันเสร็จปากเราจะเย็น ถ้าเราดื่มน้ำไปทันที จะทำให้กระเพาะอาหารเย็นตัว หดตัว และเกร็งกล้ามเนื้อกระเพาะมากเกินไป และส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ ทำให้ร่างกายไม่สดชื่น  ควรจะพักซัก 10 นาทีหลังแปรงฟันเสร็จ



อาบน้ำ สระผม ล้างหน้า
  • ล้างหน้าไม่ว่าจะล้างด้วยสบู่ โฟมล้างหน้า ที่สำคัญต้องล้างฟองสบู่ออกให้หมดจด หลังล้างหน้าแล้วให้ตบหน้าให้รู้สึกเจ็บ เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเลือดให้มาเลี้ยงที่ใบหน้า และใช้น้ำแข็งไล้หน้ากระจายๆ ทั่วๆ ใบหน้าจนรู้สึกชา หน้าแดงๆ เพื่อขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ใบหน้าสดใส ไม่หมองคลำ้ ขจัดริ้วรอย ใช้ได้ทุกวัน และล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ไม่ล้างด้วยน้ำอุ่น เพราะจะทำให้ความชุ่มชื่นในผิวหมดไป
  • อาบน้ำ เช้า-ควรอาบน้ำเย็น ทำให้สดชื่น เย็น-ควรอาบน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลาย และทำให้หลับสบาย
  • อาบน้ำด้วยน้ำมัน (ราดน้ำให้ตัวเปียก ชโลมน้ำมันและใช้ผ้าขนหนูถูตัว และราดน้ำอีกครั้ง) สามารถอาบได้ทุกครั้งที่อาบน้ำ
  • หลังอาบน้ำเสร็จควรจะทาน้ำมันเคลือบผิวสามารถป้องการการติดเชื้อได้ เป็นเกราะป้องกันผิวจากสภาพแวดล้อม การติดเชื้อจากการสัมผัส
  • ขัดผิวอาทิตย์ละครั้ง ด้วยเกลือ หรือกากกาแฟผสมน้ำผึ้ง โยเกริต์ และมะนาว
  • กระเกิดจากเซลล์ผิวเสื่อม เกิดสภาวะกลายพันธุ์ของเซลล์ผิว
  • ครีมนวมผมอาจก่อให้เกิดสิวได้ เพราะจะมีลักษณะเป็นฟิล์มเคลือบ ทำให้ผิวหายใจไม่ได้ และหมักหมม ใช้น้ำมะพร้าวแก่ หรือน้ำมะพร้าวเผาเอามาหมักผมได้  ทำให้ผมเงางาม น้ำข้าวมีวิตามินบีทำให้รากผมแข็งแรง
  • ทำเล็บ สระผมที่ร้านมีสิทธิ์ติดโรคติดต่อต่างๆ ได้ง่าย
  • โกนหนวด ขนขา ใช้ว่านหางจระเข้ แทนครีมโกนหนวดดีกว่า และยังป้องกันการระคายเคืองได้ แต่ระวังยางที่เปลือกให้ล้างออกให้หมดก่อน และต้องโกนตามแนวขน อย่าโกนขวางเพราะจะทำให้เป็นขนคุดได้
  • ไดร์เป่าผม ไม่ค่อยใช่บ่อยเพราะจะทำให้รากผมอ่อนแอลง และคลื่นไฟฟ้าในสมองจะหยุดชั่วครู่ทำให้ความจำเสื่อม และโง่ลง
  • การโกรกผมสีโค้ก สีแดงอันตรายมาก ทะลุทะลวงไปถึงไต สียิ่งเข้มยิ่งอันตราย มีผลทำให้เป็นมะเร็ง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรจะโกรกสีอ่อนเช่น สีน้ำตาล
  • AHA - ผลัดผิวระดับลึก ทำจากกรดผลไม้ / BHA - ผลัดผิวระดับตื้น สังเคราะห์
  • อย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านด้วย SPF 30 ขึ้นไปนะคะ
ได้ออกจากห้องน้ำกันแล้ว ตอนหน้ามาต่อกันกับเรื่องการแต่งตัว กินอาหาร การออกกำลังกาย กันนะคะ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น