ตื่นนอน: > รับแดด > ดื่มน้ำ > ยึดตัว
- เวลาตื่นเช้าดีที่สุดคือเวลา 5.30 นาฬิกา มารับแสงแดดยามเช้า เป็นช่วงเวลาที่แสงแดดดีที่สุดตั้งแต่ 6.00 จนถึง 8.00 นาฬิกา เลยจากนั้นก็ไม่ค่อยดีแล้ว แสงแดดในยามเช้าจะรักษาโรคผิวหนัง โรคกระดูกพรุน โรคเกี่ยวกับจิตซึมเศร้า เนื่องจากขาดเซโรโทนิน (serotonin) เมลาโทนิน (melatonin) พวกเอ็นโดฟิน (endorphin) ไม่ได้หลั่งมาเป็นเวลานาน รักษาผู้มีบุตรยาก แสงแดดยามเช้าจะช่วยให้สเปริม (sperm) แข็งแรง และปรับความสมดุลของโฮโมน
- ผิวคนเราสามารถสังเคราห์วิตามินดีได้ เมื่อรับแสงแดดแต่ต้องเป็นผิวที่มัน ไม่ใช่ผิวที่แห้ง ต้องทาน้ำมันก่อนแล้วค่อยอาบแดด พวกน้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา (วิตามิน A, D, E, K เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน) วิตามินดีจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ โดยเฉพาะคนที่ผอมบางจะมีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุนสูงต้องทาน้ำมันก่อนแล้วค่อยอาบแดดในช่วงเวลา 6.00 - 8.00 น. การเล่นโยคะตอนเช้าพร้อมรับแสงแดดก็จะดีมาก
- นาฬิกาชีวภาพอยู่ที่หน้าผาก (ตาที่3) กล้ามเนื้อใต้ขอบตาเป็นตัวกระตุ้นการสร้าง เมลาโทนิน (melatonin) เซโรโทนิน (serotonin) แต่ต่อมพิทูอิทารี (pituitary gland) เป็นตัวสร้าง พอตื่นนอนก็ให้เปิดหน้าต่างรับแสงแดดเลยเพื่อให้ร่างกายรู้ว่าตอนนี้เช้าแล้วนะ ให้ร่างกายสดชื่น เช่นเดียวกันตอนก่อนนอน ก็ค่อยๆ ปิดไฟเพื่อให้ร่างกายสงบลง ก็ที่จะนอน จะทำให้นอนหลับง่ายขึ้น หลับสบายขึ้น
- อากาศที่ดีที่สุดในแต่ละวันคือช่วง 4.00 จนถึง 6.00 นาฬิกา เป็นช่วงศิวยาม อ่านหนังสือตอนนี้ดี ทำให้จำได้ดี
- หลังจากตื่นนอนหลับแสงแล้วก็ให้ดื่มน้ำแก้วใหญ่ๆ 2 แก้ว (ดื่มให้มากที่สุด) เป็นนำ้อุณหภูมิห้อง และที่ดีควรใส่ในภาชนะที่เป็นทองแดง ดินเผา แก้ว หรือเซรามิค ไม่ควรใช้ที่เป็นพลาสติก ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการปวดหัว มึนๆ งง แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ ระดับน้ำในกระแสเลือดข้นเกินไป (dehydrated) การดื่มน้ำยังสามารถช่วยเรื่องระบบขับถ่ายด้วยได้
- หลังจากดื่มน้ำ > ยืดตัวทำท่าพฤกษาสนะ (ประสานมือด้านหน้า หายใจเข้ายืด เขย่ง ดันตัวยืด หายใจออกปากเป่า ลดมือลง) ทำ 4 - 5 ครั้ง เป็นการขจัดของเสียที่คั่งค้างตามกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ และเป็นการกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเป่า สดชื่นขึ้น เป็นการรับออกซิเจนและขับคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย
- ไม่อยากแนะนำให้ออกกำลังกายตอนเช้าถึงแม้นว่าการออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าตอนเย็นถึง 3 เท่าแต่สำหรับคนที่ต้องทำงานระหว่างวันจะทำให้ช่วงบ่ายๆ รู้สึกเพลีย เหนื่อย และทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ยกเว้นผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก หรือแม่บ้านที่ไม่ต้องทำงาน
เข้าห้องน้ำ: ขับถ่าย ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ
อุจจาระ เราต้องสำรวจและสังเกตุอุจจาระของเราด้วยว่าเป็นอุจจาระวันต่อวันหรือไม่ (การที่เราอุจจาระทุกวัน ไม่ได้แปลว่าเป็นอุจจาระวันต่อวัน)
- อุจจาระต้องวันต่อวัน อาหารที่เราทานวันนี้วันรุ่งขึ้นก็ต้องถ่ายออกมา (ทดสอบได้ด้วยการกินอาหารที่ร่างกายย่อยไม่ได้ เช่นถั่วงอก ผักชี มะละกอดิบ ผักบุ้ง ข้าวโพด ฯลฯ พรุ่งนี้ต้องออกมา) คือระบบย่อยอาหารทำงานปกติ ถ้าหลายวันถึงจะออกมามีโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้สูงเพราะจะหมักหมมอยู่ในร่างกาย
- อุจจาระต้องเบา และลอยน้ำ จับตัวกันมีลักษณะเหมือนข้าวหลาม คือมีปริมาณไฟเบอร์มาก แต่ถ้าทานแป้งและโปรตีนมากอุจจาระจะหนักและเหนียวจะจมน้ำ และต้องไม่มีฟอง
- อุจจาระต้องขนาดใหญ่ เพราะลำไส้ใหญ่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 น้ิว ถ้าอุจจาระขนาดเล็กคือผนังลำไส้เรามีแต่กากอุจจาระติดอยู่ที่ผนังลำไส้เยอะ ไม่ดีเพราะร่างกายจะดูดซึมสารอาหารวิตามินจากลำไส้ใหญ่ถ้ามีกากอุจจาระติดก็เท่ากับดูดซึมสารอาหารผ่านกากอุจจาระเข้าไปด้วย (อุจจาระเลยกลายเป็นอาหารของเรา) ทำให้ร่างกายไม่สดชื่น เซื่องซึม เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียผิวพรรณหมอง หน้าจะมีแต่กระ ฝ้า และทำให้แบคทีเรีย over grow ส่งผลให้เราไม่สบายได้
- กลิ่นของอุจจาระต้องไม่มีกลิ่นเปรี้ยวๆ ปน กลิ่นเปรี้ยวๆ แสดงว่ามีแก๊สในกระเพราะลำไส้มาก เกิดจากการที่ตัวเราร้อนจัด ทำให้แบคทีเรีย over grow อาจจะทำให้ติดเชื้อ ทำให้ไม่สบายได้ กลิ่นเปรี้ยวๆ ของอุจจาระจะมาพร้อมกับอุณหภูมิที่ร้อนของอุจจาระด้วย รักษาโดยการดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลง และต้องไม่มีกลิ่นคาว กลิ่นคาวแสดงว่าอาจมีแผลในทางเดินอาหารในกระเพาะหรือลำไส้เล็ก แต่ถ้าเป็นในลำไส้ใหญ่จะมีเลือดปน ถ้าเลือดสีดำเข้มสันนิษฐานว่า มีแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนต้น ถ้าสีเลือดหมู สันนิษฐานว่ามีแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนกลาง ถ้าสีเลือดสด สันนิษฐานว่ามีแผลที่ลำไส้ใหญ่ตอนปลาย แต่ถ้าเลือดเป็นหยดๆ เลยคือมีแผลบริเวณปากทวาร
- สีของอุจจาระจะเป็นสีเหลือง - น้ำตาลเข้ม เป็นสีปกติของอุจจาระ (ขึ้นอยู่กับอาหาร และยาที่ทานเข้าไปด้วย) ถ้าเป็นสีดำ สันนิษฐานว่ากระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กเป็นแผล อาจมีภาวะเลือดจางร่วมด้วย
- ถ้าผนังลำไส้เราไม่สะอาดเราสามารถไปทำ detox ก็ช่วยได้ (ในช่วงแรกให้ทำเดือนละ 1 ครั้ง ซัก 3 ครั้งติดต่อกัน และหลังจากนั้นการประมาณ 3 เดือนครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานของเราด้วย) และการทานอาหารที่มีเส้นใยสูง (fiber) จะเป็นเหมือนไม้กวาดไปกวาดลำไส้ให้สะอาด และดึงเอากากอุจจาระที่ติดอยู่ตามผนังลำไส้ได้ (ลำไส้ใหญ่ดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำ เช่น B, C เกลือแร่ต่างๆ และ แคลเซียม / ลำไส้เล็กดูดซึมวิตามินที่ละลายในน้ำมัน A, D, E, K)
- การกินยาถ่ายอันตรายกับร่างกายมากๆ ถ้ามีปัญหากับการขับถ่ายจริงๆ ให้ทานพวกไฟเบอร์อัดเม็ดจะดีกว่า
- แก้วมังกรแดงเป็นผลไม้ที่ล้างลำไส้ได้ดี (สารเคลือบเมล็ดมันลื่นมากๆ และสีแดงยังช่วยลดปวด ลดการอักเสบด้วย)
- ถ้ามีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ถ่ายยากให้บีบบริเวณอุ้งมือ นวดเบาๆ จะเป็นการกระตุ้นให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
- สีของปัสสาวะ ต้องเป็นสีใส (clear) ออกเหลืองนิดๆ ได้ขึ้นอยู่กับอาหารและวิตามินที่ทานเข้าไปด้วย
- กลิ่นของปัสสาวะ ควรจะเป็นกลิ่นเหมือนกลิ่นยูเรีย แต่ถ้ากลิ่นเหม็น และมีความเป็นตระกอน สันนิษฐานได้ว่าเราอาจเป็นเบาหวาน ไต ตับมีปัญหา และกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ถ้ามีฟองเกิดจากแก็สในตัวเรา > การที่ตัวเราร้อนจัด > ทำให้แบคทีเรีย over grow ทำให้กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อได้ รักษาด้วยการดื่มน้ำมากๆ เพื่อลดอาการตัวร้อน
- หลังจากปัสสาวะแล้วมีอาการเสียว เกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากการกลั้นปัสสาวะ รักษาด้วยการดื่มน้ำมากๆ และอย่ากลั้นปัสสาวะ (แต่ถ้ามีอาการไข้ร่วมด้วยต้องรีบไปโรงพยาบาลแล้ว) ถ้าปล่อยให้อักเสบบ่อยจะติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะและลามไปถึงไตได้
- แรงดันปัสสาวะไม่พุ่ง สันนิษฐานว่าบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ไตเริ่มเสื่อมสภาพ เบาหวาน และหัวใจ (เช็คได้แต่ในผู้ชาย ในผู้หญิงเช็คไม่ได้)
- ปัสสาวะแบบกระปิปกระปอย และกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สาเหตุจากหูรูดตรงกระเพาะปัสสาะเสื่อมคุณภาพ เกิดจากชอบกลั้นปัสสาวะ (มักเกิดกับผู้หญิง ไม่ค่อยพบกับผู้ชาย)
- ปัสสาวะไม่ออก อาจเกิดจากนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากการกินอาหารที่มีออกซาเรด ยางใสๆที่อยู่ในผัก เช่นสลัดผัก มะละกอดิบ มันจะเป็นเมือกไปอุดตันอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ ต้องดื่มน้ำตามมากๆ หรือเกิดจากธาตุหนักที่ปนอยู่ในน้ำ (นำ้ไหล) และอาหารก็จะไปอุดตันเป็นเม็ดแข็งๆ
- การออกกำลังกายในขณะปัสสาวะ เพื่อให้หูรูดปัสสาวะแข็งแรง โดยการ ปัสสาวะแล้วกลั้น ปัสสาวะแล้วกลั้น ทำซำ้ๆ ทำให้ปัสสาวะมีคุณภาพ ป้องกันการเป็นโรคช้ำรั่วได้ เป็นการออกกำลังกายของคีแกล คือการออกกำลังกายกระเพาะปัสสาวะ มดลูก เชิงกราน ท้องน้อย กล้ามเนื้อช่วงล่างรวมถึงการขมิบก้น (หายใจเข้าขมิบหายใจออกคาย) เป็นการทำ repair ในผู้หญิง
- ถ้าคนผอม แต่ความดันสูงสันนิษฐานได้ว่ามีปัญหาที่ไตอาจจะติดเชื้อ เป็นแผลในไต แต่ถ้าผอมแล้วความดันตำ่ก็ธรรมดา
- ถ้าคนอ้วน แต่ความดันตำ่อันตราย ผิดปกติ ช็อคได้ตลอด แต่ถ้าความดันสูงก็ธรรมดา
- ผู้หญิงมีโอกาสติดเชื้อซิฟิริส โกโนเรีย หนองใน แผลริมอ่อน จากการใช้ห้องน้ำสาธารณะเนื่องจากฝารองนั่ง และการไม่กดน้ำทิ้งก่อน แต่ว่าโอกาสน้อยมากๆ
- การบั๊มท้องบ่อยๆ จะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะไม่มีการตกตระกอน
- ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันบ่อยๆ หลังจากที่เราหายจากไข้ให้เปลี่ยนแปรงสีฟันเลย ป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราไม่สบายกลับเข้าสู่ร่างกายอีก และเก็บให้ห่างกัน ไม่วางไว้ให้แปรงติดกัน หลังจากแปรงฟันเสร็จก็ล้างให้สะอาดและต้องสบัดให้แห้งด้วย ไม่ควรเก็บในที่ปิดควรจะโปร่งที่มีอากาศถ่ายเทดีป้องกันเชื้อรา
- การใช้เกลือบ้วนปาก ช่วยให้ฟันแน่น ลดภาวะเหงือกบวม คอฟันย่น และดับกลิ่นปาก สาเหตุของกลิ่นปากเกิดจากร้อนใน แผลในกระเพาะอาหาร ภาวะเจ็บคอ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ คราบหินปูน ฟันผุ โรคตับ เบาหวาน ไต และตำแหน่งของคอผิดปกติ (ซอกคอโค้งผิดปกติ ไปดักเศษอาหารไว้) อาจใช้น้ำมันมะพร้าวบ้วนปาก กลั่วคอ ได้แทนน้ำยาบ้วนปาก ปลอดภัยกว่า
- สามารถใช้แบงกิ้งโซดา แปรงฟันเพื่อฟอกฟันขาว เป็นวิธีที่ปลอดภัย
- หลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วต้องใช้นิ้วนวดเหงือกด้วย เพื่อให้เหงือกได้หมุนเวียนเลือด เหงือกแข็งแรก เหงือกไม่ย่น และขูดลิ้นด้วย
- น้ำตาลไซลิทอน เป็นน้ำตาลจากแอลกอฮอล ช่วยป้องกันไม่ให้ฟันผุ ใช้หลังอาหาร
- ไม่ควรเก็บยา วิตามิน และของที่ไม่จำเป็นไว้ในห้องน้ำ เพราะแก๊สมีเทนในห้องน้ำและความชื้นทำให้เคมีในยาเปลี่ยนสภาพ
- ไม่ควรดื่มน้ำทันทีหลังจากการแปรงฟันเสร็จ เพราะหลังจากแปรงฟันเสร็จปากเราจะเย็น ถ้าเราดื่มน้ำไปทันที จะทำให้กระเพาะอาหารเย็นตัว หดตัว และเกร็งกล้ามเนื้อกระเพาะมากเกินไป และส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ ทำให้ร่างกายไม่สดชื่น ควรจะพักซัก 10 นาทีหลังแปรงฟันเสร็จ
- ล้างหน้าไม่ว่าจะล้างด้วยสบู่ โฟมล้างหน้า ที่สำคัญต้องล้างฟองสบู่ออกให้หมดจด หลังล้างหน้าแล้วให้ตบหน้าให้รู้สึกเจ็บ เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเลือดให้มาเลี้ยงที่ใบหน้า และใช้น้ำแข็งไล้หน้ากระจายๆ ทั่วๆ ใบหน้าจนรู้สึกชา หน้าแดงๆ เพื่อขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ทำให้ใบหน้าสดใส ไม่หมองคลำ้ ขจัดริ้วรอย ใช้ได้ทุกวัน และล้างหน้าด้วยน้ำเย็น ไม่ล้างด้วยน้ำอุ่น เพราะจะทำให้ความชุ่มชื่นในผิวหมดไป
- อาบน้ำ เช้า-ควรอาบน้ำเย็น ทำให้สดชื่น เย็น-ควรอาบน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลาย และทำให้หลับสบาย
- อาบน้ำด้วยน้ำมัน (ราดน้ำให้ตัวเปียก ชโลมน้ำมันและใช้ผ้าขนหนูถูตัว และราดน้ำอีกครั้ง) สามารถอาบได้ทุกครั้งที่อาบน้ำ
- หลังอาบน้ำเสร็จควรจะทาน้ำมันเคลือบผิวสามารถป้องการการติดเชื้อได้ เป็นเกราะป้องกันผิวจากสภาพแวดล้อม การติดเชื้อจากการสัมผัส
- ขัดผิวอาทิตย์ละครั้ง ด้วยเกลือ หรือกากกาแฟผสมน้ำผึ้ง โยเกริต์ และมะนาว
- กระเกิดจากเซลล์ผิวเสื่อม เกิดสภาวะกลายพันธุ์ของเซลล์ผิว
- ครีมนวมผมอาจก่อให้เกิดสิวได้ เพราะจะมีลักษณะเป็นฟิล์มเคลือบ ทำให้ผิวหายใจไม่ได้ และหมักหมม ใช้น้ำมะพร้าวแก่ หรือน้ำมะพร้าวเผาเอามาหมักผมได้ ทำให้ผมเงางาม น้ำข้าวมีวิตามินบีทำให้รากผมแข็งแรง
- ทำเล็บ สระผมที่ร้านมีสิทธิ์ติดโรคติดต่อต่างๆ ได้ง่าย
- โกนหนวด ขนขา ใช้ว่านหางจระเข้ แทนครีมโกนหนวดดีกว่า และยังป้องกันการระคายเคืองได้ แต่ระวังยางที่เปลือกให้ล้างออกให้หมดก่อน และต้องโกนตามแนวขน อย่าโกนขวางเพราะจะทำให้เป็นขนคุดได้
- ไดร์เป่าผม ไม่ค่อยใช่บ่อยเพราะจะทำให้รากผมอ่อนแอลง และคลื่นไฟฟ้าในสมองจะหยุดชั่วครู่ทำให้ความจำเสื่อม และโง่ลง
- การโกรกผมสีโค้ก สีแดงอันตรายมาก ทะลุทะลวงไปถึงไต สียิ่งเข้มยิ่งอันตราย มีผลทำให้เป็นมะเร็ง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรจะโกรกสีอ่อนเช่น สีน้ำตาล
- AHA - ผลัดผิวระดับลึก ทำจากกรดผลไม้ / BHA - ผลัดผิวระดับตื้น สังเคราะห์
- อย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านด้วย SPF 30 ขึ้นไปนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น